เทศน์พระ

ฝึกใจ

๑๘ ก.พ. ๒๕๕๘

 

ฝึกใจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ฟังธรรมะเห็นไหม เวลาฟังธรรมะ ฟังทุกวันเลย ฟังจนน่าเบื่อ หลวงพ่อพูดนะ อ้าปากก็รู้ว่าจะพูดอะไรแล้ว เพราะการฟังเห็นไหม เวลาหลวงตาท่านบอกว่าการแสดงธรรมเห็นไหม รถดี รถคือร่างกาย ทางดี ทางดีคือคนมีคุณธรรม ถ้าคนไม่มีคุณธรรมนะ ทางอั้นตู้ ทางอุดตัน รถดีคือร่างกายดี ผู้ขับดีคือจิตดี ถ้าจิตดีขนาดไหนนะ มันมีกำลังขนาดไหน แต่ถ้ามันไม่มีธรรม ไม่มีถนนหนทางให้เดิน ถ้าไม่มีถนนหนทางให้เดิน เรือไม่มีหางเสือไง มันวนอยู่นั่นแหละ มันไปไหนไม่รอดหรอก

ถ้ามันไปไม่รอดเห็นไหม ฟังธรรมๆ ฟังอยู่ตลอดเวลา ฟังธรรมแล้วตอกย้ำแล้วขนาดนี้ จิตใจมันยังดื้อด้าน จิตใจมันยังดิ้นรนออก ถ้าจิตใจมันไม่ดิ้นรนออกนะ นี่ทำหน้าที่การงาน คนทำงานทุกอย่าง ขนาดทำงานขนาดไหนเขาก็ต้องลงทุนลงแรงของเขา ถ้าลงทุนลงแรงของเขา เขาทำงานแล้วประสบความสำเร็จของเขา คำว่าประสบความสำเร็จเห็นไหม เขามีความสุขอยู่ชั่วครั้งชั่วคราว งานทางโลก เพราะงานทางโลกนะ โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ โลกนี้ไม่มีอะไรอิ่มเต็ม ไม่มีอะไรเสมอภาค

โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ งานจะประสบความสำเร็จขนาดไหน มันต้องมีผู้ที่เข้ามาสานต่อ ต้องมาสานต่อนะ ทำโครงการใดเสร็จขึ้นมาก็ต้องตั้งงบประมาณบำรุงรักษาแล้ว การดูแลรักษามันต้องซ่อมแซมบำรุงตลอดไป นี่งานของโลกเขายังต้องลงทุนลงแรง เขาต้องมีสติปัญญาของเขา เราเห็นภัยในวัฏสงสารนะ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพุทธศาสนาเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงได้ออกมาเป็นนักรบ เราออกมาๆ นักรบ พรหมจรรย์ เราถือพรหมจรรย์เห็นไหม เราเป็นนักรบรบกับใคร รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง

ถ้าคนจะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม ถ้าใครเข้าไปเผชิญหน้ากับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เขาจะได้ต่อกรกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าเราไม่ได้เข้าไปพบหน้า เราไม่เคยเข้าไปสู่ใจของเรา เราไม่เคยเข้าอยู่ความสงบระงับในหัวใจของเรา เราจะรบกับใคร บวชมาแล้วนี่จะมีใครนับหน้าถือตาไหม สังคมจะยอมรับไหม เราบวชมานี่เราถือพรหมจรรย์เพื่อใคร เราถือพรหมจรรย์เพื่อคนอื่นเหรอ เราถือพรหมจรรย์เพื่อเรานะ ถ้าเราถือพรหมจรรย์เพื่อเราเห็นไหม

ดูสิ ในทางโลกเขา แล้วทางโลกเขา ดูผู้ที่บริหารราชการเห็นไหม เวลากองทัพเขาออกรบมีกองทัพ เขามียุทธปัจจัยของเขาร้อยแปดพันเก้า แต่เขาก็จะมีของเขานะ ทหารการสัตว์ เขามีสัตว์ของเขา ดูสิ ทหารม้า ทหารม้าเขาต้องเพาะพันธุ์ม้าของเขา เขาดูแลพันธุ์ม้าของเขาเห็นไหม เวลาสัตว์เขายังเอามาฝึก ฝึกเอามาใช้งาน สามารถกู้ชาติได้

ดูสิสมัยโบราณเวลารบเขาใช้ช้าง ช้างศึกเห็นไหม คู่บ้านคู่เมือง ช้างคู่บ้านคู่เมือง เขาหาเห็นไหม ดูสิถ้าเป็นจักรพรรดิเป็นกษัตริย์เขาจะมีช้างเผือก ช้างเผือกของเขานี่ รัชกาลใดมีช้างเผือกมากมีสิ่งต่างๆ มาก นั่นน่ะเขาจะมีอำนาจวาสนา นี่สัตว์เขายังเอามาฝึกๆ สัตว์ยังมีลักษณะพิเศษของเขา นั่นเป็นสัตว์ใช่ไหม สัตว์เพราะอะไร เพราะมันผู้ที่ดูแลรักษา

เวลาสัตว์เขายังฝึกได้เห็นไหม แต่ของเรานี่เราเกิดมามีอำนาจวาสนา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นภัย เห็นภัยนะ ถ้าไม่เห็นภัยเราจะมาบวชทำไม เขาอยู่ทางโลกเห็นไหม ดูทางโลกเขาบอกเลย ก่อนบวชนะ เรามีเพื่อน เพื่อนเขาพูดกับเราประจำเลย

“มันเป็นได้อย่างไรวะ ที่กินข้าวมื้อเดียวแล้วมีความสุข มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปได้อย่างไร”

เขาไม่เชื่อ เอ็งดูสิของเรากินวันละ ๕ มื้อ ๑๐ มื้อ เพราะว่าเขามีฐานะเห็นไหม ตกกลางคืนเขากิน เขาพาเราไปนะ ไปกินไอ้ปูขน ไปกินนกกระจอกทอด เขาเอาอาหารพิเศษๆ เลยมาให้เรากิน เขาพยายามชักนำแบบว่า มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่ว่ากินข้าวหนเดียวแล้วมีความสุข กูไม่เชื่อ กูไม่เชื่อ นี่ก่อนบวชเพื่อนมันขัดแย้งกับเรา เขาไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อหรอกว่าบวชแล้วจะมีความสุข เป็นไปไม่ได้ แล้วเขาพยายามจะดึงเราไว้ไง นี่เวลาก่อนบวชเห็นไหม

เพราะโลกเขามองกันอย่างนั้น เราว่ารู้โลกเขามองกันอย่างนั้น มันเป็นไปได้อย่างไร คนเราไปอดๆ อยากๆ ทุกข์ๆ ยากๆ แล้วมีความสุขมันเป็นไปได้อย่างไร เขาอยู่กับความร่มเย็นเป็นสุขของเขา เขาอุดมสมบูรณ์ของเขา เขามีเงินมีทองของเขา เขาจะกินอยู่อย่างไรก็ได้ เขาบอกว่า วันหนึ่งกูกิน ๕ มื้อ ๖ มื้อนี่ เอ็งไปอยู่กินมื้อเดียวจะมีความสุขได้อย่างไร เอ็งจะมีความสุขได้อย่างไร เขาเห็นแล้วเขาสังเวชเห็นไหม

คนที่เขาไม่เห็นภัยในวัฏสงสารไง เขาคิดว่าอาชีพของเขา เงินทองของเขา ข้าวของของเขาจะเชิดชูเขาตลอดไปไง เขาคิดว่าโลกเห็นไหม โลกนี้พร่องอยู่เป็นนิจ แม้แต่ตระกูลใดก็แล้วแต่เขาจะมีคนมารับมรดกตกทอดของเขา เขาต้องฝึกไว้ เขาต้องฝึกไว้ตั้งแต่เด็กให้รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ให้รู้จักกตัญญู ให้รู้จักรักพี่รักน้อง ถ้าเราเป็นผู้จัดการกองมรดกเห็นไหม มันเป็นกงสีนี่ เราจะต้องดูแลกันเห็นไหม ทางโลกเขาต้องการคนดีเลย เขาต้องการคนดี คนมีเมตตา คนมีสัมมาคารวะ คนที่รู้จักสูงรู้จักต่ำ เพื่อความมั่นคงในชาติในตระกูลของเขา นี่เรื่องทางโลกนะ

เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราเห็นภัยๆ เราถึงได้มาบวชกัน คำว่าบวชของเรานี่อย่างน้อยเราก็มีเป้าหมาย “สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี” เราอยากจะมีความสุข เราอยากจะมีความจริง เราอยากจะรื้อค้นของเราเห็นไหม เวลาสัตว์เขายังเอามาฝึก ดูสิ สัตว์คู่บ้านคู่เมืองมันยังสามารถ สามารถกู้ชาติได้ สามารถรบทัพจับศึกได้

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วัชชีบุตรที่มีปัญหากันไปอยู่ป่าเลไลย์ ช้างกับลิงมาอุปัฏฐาก สัตว์มันยังมีปรารถนาความดี สัตว์มันยังต้องการบุญกุศล สัตว์มันยังคิดของมันได้ แล้วเราเราเป็นใคร เราเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เห็นภัยในวัฏสงสาร เวลาสัตว์ที่เอามาฝึก สัตว์มันจะฝึกใครไปฝึกล่ะ มนุษย์ไปฝึกมัน มนุษย์เอามาฝึก เอามาฝึกฝน เอามาเพื่อประโยชน์

แต่ของเราเห็นไหม ถ้าเรามีสติปัญญาเราจะฝึกใจของเรา ถ้าเราจะฝึกใจของเรา แล้วใจเราอยู่ไหน ใจของเราน่ะอยู่ไหน เห็นไหม ภิกษุบวชใหม่ ในวงกรรมฐานบอกว่า ถ้าพรรษานี่ระหว่าง ๕ พรรษานี่ยังเล่นบริขารอยู่ ๕ พรรษาเห็นไหม บริขารยังสวยยังงามอยู่ ยังพิจารณา ยังจะตัดเย็บ ยังจะตบแต่งบริขารอยู่ พอจาก ๕ พรรษาขึ้นไปเริ่มชักอิ่มเต็มเห็นไหม แล้วจะเอาอะไรเป็นเครื่องอยู่ต่อไปล่ะ

ในเมื่อมันประเพณีวัฒนธรรม วัฒนธรรมของเรา วัฒนธรรมของกรรมฐาน สิ่งที่ว่าเป็นบริขาร ข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นเครื่องอยู่ไง คำว่า “เครื่องอยู่” จิตใจมันไม่เร่ร่อนนะ ถ้าจิตใจมันเร่ร่อนเห็นไหม จิตใจมันเร่ร่อน แล้วถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เป็นหลัก ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์เป็นตัวอย่าง หลวงตาท่านพูดบ่อย เวลาท่านออกไปเยี่ยมลูกศิษย์

“ถ้าวัดไหนไม่ถือธุดงค์ เราจะไม่ไปเหยียบวัดนั้นอีกเลย”

ท่านบอกว่าธุดงค์มันก็มีอยู่ในพระไตรปิฎก ธุดงค์มันก็มีอยู่ในตำรา ท่านบอกต่อไปมันเหลือแต่ตัวอักษรไง ตำรามันก็มี แต่ทำไม่เป็นทำไม่ได้

ธุดงค์ทำกันยังไง แล้วทำแล้วเห็นไหม แม้แต่ในทางโลก เขาจะบอกว่าน้ำอัฏฐบาน น้ำอัฎฐบานกรอง ๘ ชั้น กรอง ๘ เที่ยว กรอง ๘ อย่าง ผลไม้ ๘ ชนิด ตีความกันไป เพราะอะไร เพราะมันมีแต่ตำราไง ตำรามันมีอยู่ แล้วก็สำนักใด กลุ่มชนใด ก็ว่าของฉันถูกต้อง ของฉันดีงามทั้งนั้น น้ำอัฏฐบานต้องกรอง ๘ ชั้น กรอง ๘ เที่ยว ผลไม้ ๘ ชนิด ก็ว่ากันไปเห็นไหม

พูดถึงว่ามันมีแต่ตัวอักษรไง ตัวอักษรมันมีแล้วก็ตีความไง ตีความ นี่ไงธุดงควัตรๆ ธุดงค์ทำยังไง ท่านบอกเลย ถ้าไปที่ไหนถ้าไม่ถือธุดงค์ เราจะไม่ไปเหยียบที่นั่นอีกเลย ทำเพื่ออะไรล่ะ เวลาพระกัสสปะเป็นพระอรหันต์ อายุเท่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือธุดงควัตร ถือผ้าบังสุกุล เก็บผ้าบังสุกุลมาปะชุนจนสังฆาฯ ถึง ๘ ขั้น

“กัสสปะเอย เธอก็อายุปานเรา เราเป็นพระอรหันต์น่ะ ไม่มีกิเลสแล้วทำไมต้องถือผ้าบังสุกุล”

“ข้าพเจ้าถือผ้าบังสุกุลเพื่อเป็นคติ เป็นแบบอย่าง ไว้กับอนุชนรุ่นหลังได้อ้างอิง”

ไว้ได้อ้างอิง ได้เป็นแบบอย่าง เป็นแบบอย่างเห็นไหม ครูบาอาจารย์ของเรา ดูหลวงตาสิ “ถ้าวัดไหนไม่ถือธุดงค์ เราจะไม่ไปเหยียบที่นั่นอีกเลย”

ไม่ไปเหยียบเราก็บอกว่าเอาที่เป็นทิฏฐิมานะใช่ไหม เอาอย่างนี้มาข่มขี่กันใช่ไหม เอาอย่างนี้มากดทับกันใช่ไหม เรามองตรงนี้ไง เรามองระหว่างที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนเรา เรามองว่าสิ่งนี้มันเป็นทิฏฐิ มันเป็นความเห็นแตกต่าง เพราะเราต้องการความสะดวกต้องการความสบายไง

แต่เวลาหลวงตาท่านคิดของท่านไปอีกชั้นหนึ่งเลย “ถ้าเราไม่ทำ ภิกษุไม่ทรงธรรมทรงวินัย ใครจะทรง” ถ้าพระยังทำไม่ได้ พระยังเข้าใจไม่ได้ พระยังรู้ไม่ได้

ดูสังคมที่เขาโต้แย้งกันอยู่นี่ เขาโต้แย้งกันเรื่องอะไร แล้วเวลาพระโต้แย้งกัน โต้แย้งกันเรื่องอะไร แต่ถ้าใครประพฤติปฏิบัติเข้าไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้าจิตใจมันเป็นไป จิตมันได้มีกิจจญาณ สัจจญาณ มีมรรคในหัวใจขึ้นมา มันมีอะไรโต้แย้งกัน มันโต้แย้งกันตรงไหน มันโต้แย้งยังไง ทำไมต้องโต้แย้ง! มันโต้แย้งไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันอันเดียวกัน สิ่งที่มันเป็นอันเดียวกัน สิ่งที่มันรู้แจ้งเหมือนกันมันจะโต้แย้งมาจากไหนล่ะ

แต่เพราะจิตใจเรามันหยาบใช่ไหม เราจะฝึก ฝึกใจของเรา ฝึกใจของเรา ถ้าเรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์เวลาท่านชี้ท่านบอกขุมทรัพย์ แต่พวกเรานะ “ภิกษุบวชใหม่ ทนคำสอนได้ยาก” ภิกษุบวชใหม่ เพราะเป็นฆราวาสเห็นไหม สิทธิเสมอภาค มันเป็นสิทธิ์ของคนคนนั้น ใช่! มันเป็นสิทธิ์ แต่เรานับถือพุทธศาสนา เราเห็นภัยในวัฏสงสารไง เราถึงได้มาบวชใช่ไหม ถ้าเรามาบวชนะ เราก็ต้องการเห็นไหม นี่ควาญประจำช้าง ช้างตัวไหนก็ได้มันต้องมีควาญประจำช้างไง เรามีครูบาอาจารย์ไหม เรามีคนที่ชี้นำเราไหม เรามีคนคอยบอกกล่าวเราไหม

เวลาข้อวัตรเห็นไหม อาจารย์น่ะ วัตรในอาจารย์ ถ้ามีอาจารย์ของเรา สัทธิวิหาริกลูกศิษย์ของเรา มันมีข้อวัตรไง ข้อวัตรก็เป็นข้อวัตร ข้อวัตรเห็นไหม เครื่องดำเนิน ไม่ให้เร่ร่อน ไม่ให้จิตเราเร่ร่อน มันต้องมีข้อวัตร มีเครื่องอยู่ เครื่องอยู่เป็นเครื่องอยู่

แต่เรามีสติมีปัญญาของเราไง เราจะมาฝึกใจของเราไง แต่ถ้าใจของเรามันต่ำต้อย ใจของเรามีวุฒิภาวะแค่นี้ เวลาครูบาอาจารย์ชี้นำสิ่งใดขึ้นมามันรู้ไม่ได้หรอก มันรู้ไม่ได้ ถ้ามันรู้ได้ ทำไมต้องมีครูบาอาจารย์ล่ะ ก็มีสิทธิ มันเสมอภาคกันไง ถ้าเสมอภาคก็มีความรู้เหมือนกันไง บวชเป็นพระเท่ากันไง มีศีล ๒๒๗ เหมือนกันไง แล้วศีลก็คือศีล ศีลคือข้อห้าม ข้อห้ามมันก็เป็นชื่อเท่านั้น มันอยู่ในพระไตรปิฎก แล้วเรามีอะไรล่ะ

เราจะฝึกใจเรานะ ถ้าเราจะฝึกใจ ใจมันฝึกได้ ดูสิ สัตว์เขายังมาฝึกไว้เพื่อเป็นประโยชน์ แต่เราจะฝึก เราหาไม่ได้ไง สัตว์มันต้องมีมนุษย์นะ มีผู้ฝึกมันถึงมาฝึกมันได้ เพราะสัตว์มันก็มีความรู้เท่านั้นน่ะ แต่ถ้าพอฝึกมันให้มันเป็นประโยชน์ได้มันเป็นประโยชน์มหาศาลเลย

ใจของเรา ใจของเราดูกิเลสอวิชชามันครอบงำไว้ ศึกษาธรรมะๆ ศึกษาธรรมะด้วยกิเลส เอากิเลสไปศึกษาธรรมไง ชอบสิ่งใด พอใจสิ่งใดก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมวินัย ถ้าไม่ชอบ ไม่ชอบนี้มีเจือปนมา นี้มีสิ่งที่เข้ามา สิ่งที่เจือปนมา เมื่อเจือปนมา ในเมื่อมันจดจารึกกันมา มันก็มีการคลาดเคลื่อน สิ่งที่คลาดเคลื่อนมันเป็นโทษให้ใคร มันเป็นโทษกับใครๆ

ถ้าเราจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง ถ้าเราปฏิบัติแล้วถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา มันไม่ตรงความจริง สิ่งนั้นเราก็ไว้ข้างทางซะ เราไม่ต้องไปยุ่งกับสิ่งนั้น เพราะเราจะเอาใจของเราเห็นไหม เราจะมาฝึกใจของเรา เราไม่ได้ไปตรวจสอบหรอกเห็นไหม เขาบอกทำสังคายนาๆ ใครมันจะเก่งไปกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะมีปัญญา นี่พุทธวิสัย พุทธวิสัยปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่สุดยอด ในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ในปัญญานี่พุทธวิสัย ปัญญาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด

แต่ไอ้พวกสาวก สาวกะ นี่จะทำสังคายนาๆ สังคายนาสังคายนาที่ไหน ใจเอ็งอยู่ไหน เราจะมาฝึกใจของเรา เรามาฝึกใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญามันใจของเรา แต่ถ้าไม่มีสติปัญญามันไม่เห็นใจของเรา มันจะส่งออกหมด ส่งออก โน่นก็ต้องแก้ไข นี่ก็ต้องแก้ไข

ภิกษุบวชใหม่ทนคำสอนได้ยาก ภิกษุ ๑ พรรษาถึง ๕ พรรษากำลังเล่นบริขารอยู่ เพราะต่อขึ้นไปน่ะ มันคิดเรื่องโลกธรรมแล้ว คิดเรื่องนอกโลกแล้ว มันไปของมันแล้ว แล้วใจอยู่ไหนล่ะ ไหนว่าจะมาฝึกใจไง ไหนว่าบวชมาเพื่อประพฤติปฏิบัติไง

ถ้าประพฤติปฏิบัติ ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติเห็นไหม ดูสิ ครูบาอาจารย์ของเราชื่นชมอาจารย์สิงห์ทองมาก อาจารย์สิงห์ทองนี่ใครๆ ก็ชื่นชมว่าเดินจงกรมจนทางเป็นเหว เขาเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาจนทางเป็นเหว เดินจงกรมซ้ำๆ ซากๆ อยู่นี่ หลวงปู่ขาวมีทางจงกรม ๓ เส้น เดินบูชาพระพุทธ เดินบูชาพระธรรม เดินบูชาพระสงฆ์ ทุกวันต้องเดินจงกรมตลอด นี่ไง ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน ท่านยังปฏิบัติเป็นวิหารธรรม

ไอ้ของเราจะมาฝึกใจฝึกใจที่ไหนๆ ฝึกใจตามประเพณีใช่ไหม เดี๋ยวนี้วัฒนธรรมประเพณีเห็นไหมเผยแผ่ธรรมๆ เอาอะไรไปเผยแผ่ เอากิเลสไปเผยแผ่หรือเอาธรรมไปเผยแผ่ แล้วหัวใจล่ะ หัวใจมันอยู่ไหน ถ้ามันฝึกใจมันต้องหาหัวใจตัวให้เจอไง ถ้ามันจะฝึกนะ ดูสัตว์เขาจะฝึกเขามีเจ้าของ เขาจะฝึกมันได้ ถ้าฝึกมันได้ เวลาเขาจะฝึกสัตว์เห็นไหม เขาดูนิสัย ดูสิเวลาเขาฝึกสุนัข สุนัขสงคราม เขาดูพันธุ์นะ พันธุ์ที่มันเชื่อฟัง พันธุ์ที่มันสอนได้ กับพันธุ์ที่มันสอนไม่ได้ พันธุ์นี่เขายังเลือกเลย

นี่เหมือนกัน เขาฝึกสุนัขเขายังเลือกสายพันธุ์ แต่เวลาเราจะค้นใจเราล่ะ พันธุกรรมของจิตๆ นี่จริตนิสัย ถ้าจริตนิสัยเราสร้างมายังไง เราทำมายังไง จริตนิสัยของเรา ถ้ามันเป็นจริตนิสัยของเรา จริตนิสัยของเราก็คือทุกข์ของเราไง จริตนิสัยคือความชอบของเราไง ถ้าความชอบมันจะเป็นยังไง มันก็ต้องดูแลด้วยสติปัญญาของเรา จะให้คนอื่นชี้นำ จะให้คนอื่นบงการ บงการว่าสมาธิต้องเป็นอย่างนั้น ศีล สมาธิ ปัญญาจะเป็นอย่างงั้นๆ จะบงการบังคับเอา เป็นไปไม่ได้ มันต้องฝึกหัดขึ้นมาไง

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านถึงบอกให้มีคำบริกรรม มีคำบริกรรม มีใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ใช้ปัญญาของเรา ไปเพ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก การเพ่งอยู่เฉยๆ มันเป็นทางออกของกิเลสทั้งนั้น เวลากิเลสมันอ้างไง กิเลสมันบังเงา เวลาปฏิบัติธรรมนี่รู้ธรรมหมดแล้ว ชื่อมันรู้หมด นิพพานนี่อธิบายได้ปากเปียกปากแฉะเลย แต่ศีล สมาธิ ซักตัวมันยังไม่รู้จัก ถ้ามันไม่รู้จักศีล สมาธิ ปัญญา มันจะไปรู้ทางธรรมะได้ยังไง ธรรมะนี่มันได้ยังไง ธรรมะนี่เป็นผลนะ

สิ่งที่เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิธีการทั้งนั้น วิธีการ เหตุวิธีการจะเข้าไปสู่ความจริง นี่สู่ความจริง ถ้าใครเข้าไปสู่ความจริง ได้ความจริงนั้น มันก็รู้จริงตามนั้น ก็ตามนั้น มันเป็นวิธีการทั้งนั้น แล้ววิธีการเราก็ไปอ้างอิงผลกัน ผลที่เกิดจากจินตนาการนั้นๆ ไง มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาไง

ถ้าเป็นความจริงเห็นไหม จะฝึกใจต้องหาใจตัวให้เจอ ทำสมาธิให้ได้ ถ้าทำสมาธิได้ แค่ทำสมาธิได้ คนที่ทำสมาธินะ แล้วเวลามันมีสิ่งใดกระทบกระเทือนมันจะรักษาใจของตัว ถ้าคนที่จะประพฤติปฏิบัติ เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องศีล เรื่องสติปัญญา เขาจะรักษามาก รักษาเพื่ออะไร เพราะว่าถ้ามีสติปัญญานะ การกระทำมันก็ทำได้ง่าย การกระทำมันทำได้ดี

ถ้าพอมันฟุ้งซ่าน มันฟั่นเฟือน มันมาจากไหน สติของเรานั่นแหละมันฟั่นเฟือน ถ้ามันฟั่นเฟือน มันฟั่นเฟือนเห็นไหม เวลาปฏิบัติมันก็ปฏิบัติได้ยาก แล้วเวลาเข้าสมาธิได้มันก็มีความชื่นใจ มีความมุ่งมั่น เวลาถ้ามันเข้าไม่ได้ล่ะ มันเข้าไม่ได้เห็นไหม มันก็หาทางออก มันก็จะส่งออกแล้ว มันจะไปหาข้างนอกแล้ว

ถ้าหาข้างนอก แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ของเรา ถ้ามันปฏิบัติไม่ได้ มันปฏิบัติแล้วมีปัญหาขึ้นมา มันเป็นปัญหาเพราะเหตุใด เขาหาของเขา เขาต้องหา มันต้องหาเหตุหาผล เหตุผลมันแก้ไขได้ ถ้าแก้ไขได้มันก็จบได้ ถ้าแก้ไขไม่ได้ล่ะ นี่แก้ไขไม่ได้ ภาวนานี่เวลามันเสื่อม กรรมฐานม้วนเสื่อเห็นไหม มันม้วนเสื่อของมันไปเลย มันสู้ไม่ได้ เวลาสู้ไม่ได้ มันไม่สู้ไง

แต่ถ้ามันสู้ได้เห็นไหม มันเป็นอำนาจวาสนาของเรา ขิปปาภิญญาเขาก็สร้างของเขามา เวลาพระอยู่ในสมัยพุทธกาล ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์เลย พระด้วยกันก็สงสัยไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไมมันเป็นอย่างนั้น เขาทำของเขามาตั้งแต่ชาตินั้นๆ เขาได้เสียสละมาแล้วกี่ภพกี่ชาติ เขาทำของเขามาทั้งนั้น

แล้วของเราเราทำมาอย่างนี้ เราทำมาอย่างนี้เห็นไหม เราทำมาอย่างนี้ ปัจจุบันนี้เรามีสติปัญญาไหม เรามีสติปัญญา เราเชื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ถ้าเราเชื่อในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ เทิดไว้ศีรษะ ยกขึ้นสูงไว้ นี่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ในจิตใจของเรามันเต็มไปด้วยครอบครัวของมาร ครอบครัวของมารตั้งแต่ปู่ย่าตายายของมาร ลูกหลานเหลนของมาร ในหัวใจเรามันครอบครองใจของเรา

แล้วสิ่งที่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพญามารมันจะเข้ากันได้ยังไง ถ้ามันพญามาร สิ่งที่เป็นพญามารมันครอบครองใจของเรา เราก็ต้องพยายาม พยายามทำความสงบของใจ ให้พญามารมันสงบตัวลง มันเปิดโอกาส มันเปิดโอกาสให้เราฝึกฝนใจของเรา เขาฝึกสัตว์เห็นไหม เขาฝึกสัตว์ เขาฝึกมาแล้วมันยังเป็นประโยชน์ได้ ฝึกสัตว์ขึ้นมา สัตว์เขาฝึกมาเพื่อใช้งาน ฝึกมาเพื่อประโยชน์

แต่ถ้าเราฝึกใจของเราได้เห็นไหม ใจเราถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ เวลามันสำรอกมันคายของมันออกเห็นไหม เทวดา อินทร์ พรหม สาธุการนะ เทวดา อินทร์ พรหมสาธุการ เทวดา อินทร์ พรหม เวลาเขาไปได้ทิพย์สมบัติ พอเขาได้ทิพย์สมบัติเขามองเห็นไง มองเห็นถึงของความเป็นไปของสังคมไง แต่เขาก็ยังไม่รู้จักตัวเขาอยู่ดีล่ะ เพราะเขาไม่อยู่ในสถานะของมนุษย์แบบเราไง ถ้าไม่รู้จักสถานะมนุษย์แบบเรา เขาถึงอยากจะพ้นทุกข์แบบเห็นสมณะที่เขาประพฤติปฏิบัติกันไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิด ตรัสรู้ แสดงธรรม ปลงอายุสังขาร ปรินิพพาน โลกธาตุหวั่นไหวๆ เวลาโลกธาตุหวั่นไหว มันหวั่นไหวไปหมด เวลาพระอานนท์เห็นไหม วันมาฆบูชา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขารโลกธาตุหวั่นไหวไปหมดเลย พระอานนท์เห็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “สิ่งที่ไม่เกิด ไม่เคยมี มันมีแล้วพระเจ้าค่ะ สิ่งนี้มันคืออะไรพระเจ้าค่ะ”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าโลกธาตุหวั่นไหว ถ้าสิ่งที่โลกธาตุหวั่นไหว มันเป็นได้ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมจักร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลงอายุสังขาร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน พระอานนท์รู้เลยว่าจะปลงอายุสังขาร นี่โลกธาตุหวั่นไหว

นี่ไง เวลาผู้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาโลกธาตุหวั่นไหว ถ้าโลกธาตุหวั่นไหว ร่างกายนี้หวั่นไหว หัวใจนี้หวั่นไหวไง โลกธาตุ โลกภายในมันหวั่นไหว มันสำรอกมันคายของมัน ถ้ามันเป็นจริง ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมาเห็นไหม นี่ไง เทวดา อินทร์ พรหม เขารอชื่นชมอยู่ไง ถ้าเขาชื่นชมอยู่แล้ว เขาถึงรู้ว่าดวงใจดวงใดอยู่ในร่างกายสิ่งใดที่มีคุณธรรม เขาไปขอฟังธรรมจากใจอย่างนั้น เพราะฝึกใจดีแล้วมันเป็นประโยชน์อย่างนั้น

ถ้ามันฝึกใจดีแล้ว นี้เราจะมาฝึกใจของเรา สิ่งที่มาฝึกใจของเรา เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราถึงได้มาบวชมาเรียนกันไง มาบวชแล้ว ศึกษาๆ เป็นสุตมยปัญญา อยู่กับครูบาอาจารย์เห็นไหม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ถ้าเราอยู่กับครูบาอาจารย์ใจที่เป็นธรรม ใจของท่านที่ฝึกดีแล้วเห็นไหม จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ใจดวงนั้นน่ะมันมีกิจจญาณ มันมีสัจจญาณ กิจจญาณ สัจจญาณ กิจภายใน

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ท่านบังคับเลย งานภายนอก งานข้อวัตรปฏิบัติ งานที่เครื่องอยู่นี่พอประมาณ ท่านจะไม่ให้เราส่งออกไปยึดสิ่งนั้นเป็นผลงาน ผลงานเห็นไหม ดูสิ เขาสร้างสิ่งถาวรวัตถุไว้สวยงามไปหมดเลย สร้างไว้ทำไม สร้างไว้ให้ตุ๊กแกมันอยู่ไง อ้าว มันเป็นบุญนะ มันเป็นบุญ มันเป็นบุญน่ะ มันเป็นศรัทธาความเชื่อ ทำเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา แต่พุทธศาสนามันเป็นศาสนวัตถุ ศาสนบุคคล ศาสนธรรม

ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เห็นไหม ถ้าจิตใจของท่านเป็นธรรมๆ นี่ท่านเห็นถึงมรรคถึงผลมีความสำคัญกว่า เราปฏิบัติบูชาไง ถ้าเราปฏิบัติบูชา เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาเห็นไหม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

เขาไปอินเดียกัน ไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไปเพื่อให้มันรื่นเริง ให้มันคิดระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราพุทโธ เราได้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวเป็นๆ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทธะที่มีชีวิต พุทธะสดๆ ร้อนๆ มันอยู่ที่ไหน เห็นไหม จะฝึกใจ

ถ้าเราเข้ามาถึงที่นี่เอาอะไรไปฝึก สัญญาทั้งนั้น สัญญาคือความจำได้หมายรู้ จำได้หมายรู้ครอบครัวของมาร ครอบครัวของมารมันก็ขับไส มันปั้นแต่ง พอมันปั้นแต่งขึ้นมาเห็นไหม หน้าฉาก หลังฉาก หน้าฉากแสดงธรรม หลังฉากกิเลสตัณหาความทะยานอยากพลิกแพลงอยู่นั่นเห็นไหม การแสดงธรรมมันถึงไม่ตรงไปตรงมาไง

การแสดงธรรมตรงไปตรงมาเห็นไหม มันจะสับหัวกิเลส มันจะลงไปที่กิเลสนั่น กิเลสมันอยู่ที่ไหน แสดงธรรม สัจธรรม ธรรมโอสถ เข้าไปเผชิญกับหัวกิเลสนั่น นี้ถ้ามันเป็นกิเลส มันไม่กล้าสับหัวมันไง มันไม่ยอมสับหัวมัน ถ้ามันไม่ยอมสับหัวมัน เพราะว่ากิเลสมันกลัวอะไรล่ะ มันกลัวธรรมเท่านั้น ไม่กลัวอะไรหรอก

ถ้าสิ่งอื่นเป็นโลกธรรม ๘ เป็นเครื่องส่งเสริมทั้งนั้น ไปส่งเสริม ไปเยินยอ ไปยกย่องเขา ไปยอมจำนน ปฏิบัติไปยอมจำนนกับกิเลสไง นั่งสมาธิก็พอเป็นพิธี เดินจงกรมนั่งสมาธิพอเป็นพิธีแล้วไปยอมจำนนกับมันไง ยอมจำนนตรงไหน ยอมจำนน...ฉันทำแล้ว

พระกรรมฐานนะ มีคุณธรรมนะ ถ้ามีคุณธรรมเขาจะเก็บไว้ในหัวใจ ธรรมะมีคุณค่ามาก ธรรมะมีคุณค่ามากกว่าโลกธรรม ๘ ลาภยศสรรเสริญไร้สาระ ถ้ามีธรรมจริง ถ้ามีธรรมจริงนะ สิ่งนั้นเป็นของนอกกาย โลกธรรม ๘ นะ ถ้าคนที่ไม่มีสัจธรรมในหัวใจ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ โมฆบุรุษตายเพราะชื่อเสียงนะ ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณมันลากไปตาย แล้วอยากตายด้วย อยากตาย อยากเข้าไปหามัน วิ่งเต้นเข้าไปหามันนะ

เห็นไหม โมฆบุรุษ นั่นโลกธรรม ๘ ถ้ามีคุณธรรมจริง สิ่งที่เป็นคุณธรรมเรื่องลาภสักการะมันไร้สาระมากนะ เพราะนั่นถ้าไม่มีสติปัญญา โมฆบุรุษตายเพราะลาภ ตายเพราะลาภสักการะ ตายคาที่เลย แล้วทำไมวิ่งไปหาเขาล่ะ ทำไมยอมจำนนกับสิ่งนั้นล่ะ ไหนว่าจะฝึกใจไง ถ้าฝึกใจ ใจที่ฝึกดีแล้วทำไมทำอย่างนั้นล่ะ ถ้ามีสติปัญญานะ ถ้าทำอย่างนั้น

เวลาหลวงตาก่อนที่ท่านออกมาโครงการช่วยชาติ เรื่องนี้ท่านไม่ยุ่งเลยนะ ท่านบอกว่าไอ้หลังลาย ค่าของธรรมมันสูงกว่า ค่าของคุณธรรมในใจมันสูงส่งมาก ถ้าค่าคุณธรรมของหัวใจมันไม่สูงส่งขนาดนั้น อสรพิษ! มันจะทิ้งสิ่งที่เป็นอสรพิษที่มันกัดหัวใจคนได้ยังไง สิ่งนี้มันกัดหัวใจของคนนะ มันเป็นเหยื่อของครอบครัวมาร แล้วครอบครัวมารมันครอบครองหัวใจของสัตว์โลก แล้วมันปฏิบัติมาสิ่งนี้มันก็จะไปกินเหยื่อ แล้วเวลาผู้ที่มีคุณธรรมเห็นไหม มีคุณธรรมกลับไปหาเหยื่อ มันจะมีคุณธรรมตรงไหน? ใจที่ฝึกดีแล้วมีสติมีปัญญา ไม่ตายเพราะลาภ ไม่ตายเพราะลาภสักการะ สิ่งต่างๆ ไม่ใช่โมฆบุรุษ โมฆบุรุษตายเพราะลาภ ลาภสักการะไง

แต่เราจะเอาคุณธรรมเห็นไหม เพราะคุณธรรมมันมีค่า แม้แต่สตินะ คนเรานะ เวลาทุกข์ยาก เราเห็นมา คนเวลาพลัดพรากนะ สามีตาย ครอบครัวเขาล่มสลาย จิตใจเขาจะฆ่าตัวเขาตาย เขาพยายามจะทำร้ายตัวเขาเอง เวลาครูบาอาจารย์ท่านให้ธรรมะขึ้นไปเห็นไหม พอจิตใจเขาพลิกขึ้นมา เขาบอกทำไมเขาคิดอย่างนั้นได้ยังไงๆ

เวลากิเลสมันครอบงำหัวใจ มันมืดมิดปิดตาหมดเลย แล้วมันทำได้ทุกๆ อย่าง ทำได้ทุกเรื่อง แล้วถ้ามันมาอยู่ในหัวใจของพระเรานี่ แล้วพระเราเห็นไหม ภิกษุเป็นผู้นุ่งห่มธงชัยพระอรหันต์ ผ้ากาสาวพัสตร์เป็นธงชัยพระอรหันต์ พอนุ่งห่มขึ้นมาแล้วเขาเคารพนบนอบ พอเคารพนบนอบ พูดอะไร... ใจเขาคัดค้าน เขารู้ ยิ่งปัจจุบันนี้คนศึกษามาก

ดูสิหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ ท่านเผยแผ่ศาสนามา ๓ ชั่วอายุคน แล้วคนที่เขาไปคลุกคลีเขาได้อุปัฏฐากตั้งแต่หลวงปู่มั่นมา ครูบาอาจารย์เราได้อุปัฏฐากหลวงตามา ท่านคุ้นชินกับความเป็นจริง ข้อเท็จจริงเขาคุ้นชินอยู่แล้ว ถ้าเขาคุ้นชินอยู่แล้ว แล้วเขามาเจอสภาพของเรา หน้าไหว้หลังหลอก พูดอย่างทำอย่าง มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง หนสองหนเขาก็รู้แล้ว พอเขารู้แล้วเห็นไหม แล้วโมฆบุรุษมันก็ยังจะแสวงหาอย่างนั้นนะ

นี่พูดถึงว่าถ้าคุณธรรมมีจริง ถ้าใจเป็นธรรมจริง สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องโลกธรรม ๘ โลกธรรม ๘ มันอยู่ภายนอก เขาจะรักษาใจของเขาได้ ใจของเขาจะมีคุณธรรม เพราะคุณธรรม วิหารธรรม เวลาครูบาอาจารย์เห็นไหม ดูสิหลวงปู่ขาว อาจารย์สิงห์ทอง เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน เขาอยู่ในทางจงกรมเขามีความสุขได้ยังไง เดินจงกรมอยู่อย่างนั้นล่ะ

เดินจงกรม มันอยู่ในวิหารธรรมมันมีความสุขนะ ดูสิเราเข้าสมาธิเรามีความสุขมากน้อยขนาดไหน เอ้า เป็นพระอรหันต์แล้วทำไมต้องเข้าต้องออกอีกเหรอ มันไม่ได้เข้าได้ออกหรอก แต่เป็นวิหารธรรม เป็นเครื่องอยู่ จิตใจถ้ามันอยู่กับธรรม โอ้โห มันแช่มชื่นนะ

แต่จิตใจมันคลุกคลีกับโลกเห็นไหม คลุกคลีกับโลก เวลาญาติโยมเขามา ใช่ เขาหาที่พึ่ง ญาติโยมหาที่พึ่ง หาครูบาอาจารย์เห็นไหม ต้องการธรรมโอสถ ต้องการธรรมเพื่อชโลมหัวใจของเขา แต่เวลาเขาพูดออกมาเขาก็เอาแต่ความทุกข์ของเขามาทั้งนั้น โยมเวลาเขามาเขาแบกทุกข์มาทั้งนั้น แล้วทุกข์มันก็มาใส่ในหัวใจของเรา รับรู้แต่เรื่องทุกข์ๆๆๆ มันเป็นเรื่องทุกข์ทั้งนั้น

แล้วถ้าเราเข้าสู่วิหารธรรมของเรา เราเข้าสู่ความสงบของเราเห็นไหม มันบาล้านซ์ธาตุขันธ์ จิตมันปล่อยวางหมด ธาตุก็ธาตุ ขันธ์ก็ส่วนขันธ์ จิตก็ส่วนจิต มันเป็นของมันอย่างนั้นอยู่แล้วโดยธรรมชาติของมัน แค่เข้าทางจงกรมแค่ได้นั่งสมาธินี่มันเป็นวิหารธรรม มันเป็นความสุข มันมีความสุขเห็นไหม ถ้าคนที่มีคุณธรรม ใจที่ฝึกดีแล้วเห็นไหม ถ้าสิ่งนั้นมันมีคุณค่าขนาดนั้น เขาต้องการลาภสักการะไหม เพราะเขาไม่ใช่โมฆบุรุษไง เพราะใจเขาฝึกดีแล้วไง

แต่เราจะมาฝึกใจของเรา เราจะมาฝึกใจของเรา เราจะมาฝึก ถ้าเราจะมาฝึก นี่ครอบครัวของมารมันเต็มหัวใจ นั่งสมาธิเดินจงกรมให้มันเป็นจริงขึ้นมา มันจะเดินมากเดินน้อยก็แล้วแต่ คนที่เขาเดินน้อยแต่เขาได้สมาธินั้นก็อำนาจวาสนาของเขา เราจะเดินมาก เดินมากไม่สมดุลขึ้นมามันก็ไม่ลง ถ้าไม่ลงเราก็ไม่มีเครื่องอยู่ เราก็ไม่มีสิ่งใดที่ให้มันเสวยเห็นไหม เวลาเสวยก็เสวยแต่ทุกข์ เสวยแต่ความรู้สึกนึกคิด เสวยแต่ความทุกข์นั้น มันไม่เคยเสวยธรรมเลย เสวยธรรมทำไมต้องเสวยด้วยล่ะ

สมาธิเกิดที่ไหน สมาธิอยู่ในตำราใช่ไหม สมาธิอยู่ที่ชื่อใช่ไหม สติ สมาธิมันเกิดที่ไหน ถ้ามันเกิดนอกจากอื่น เกิดสสารอย่างอื่น มันไม่มีชีวิต มันรับรู้ไม่ได้ แต่ถ้ามันเกิดจากจิตล่ะ เกิดจากจิต เวลาความคิดนี้เกิดจากจิต แล้วสติเกิดขึ้นมามันก็ยับยั้ง สติ ถ้าสติมันครอบคลุมจิตนั้น จิตมันคิดไม่ได้ จบ ความคิดไม่มี

ถ้ามันพุทโธๆๆๆ แล้วให้พุทโธ ให้คำบริกรรม บริกรรมจนบริกรรมไม่ได้ เหมือนตัวมันเอง ตัวมันเองเป็นพุทโธเอง ตัวจิตเป็นตัวจิตโดยอิสระเอง ความคิดเกิดไม่ได้ เพราะจิตมันอิสรภาพ มันเป็นสมาธิ แล้วมันมีความสุขของมัน

แต่ธรรมดาความคิดเกิดจากจิต เพราะจิตมันพึ่งตัวเองไม่ได้ มันต้องเสวยอารมณ์ มันต้องคิด พอมันมีความคิดขึ้นมา อ๋อ จิตเป็นอย่างนี้ จิตคิดทุกข์ๆ ร้อนๆ อย่างนี้ ไอ้นี่มันเสวยอารมณ์ไปแล้ว แล้วบอกดูจิตๆ ก็ไปดูความคิด เพราะมันก็จับได้แต่ความคิด มันจับได้แค่ความคิดมนุษย์ไง

มนุษย์มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ แต่ถ้าจิตสงบเข้าไปแล้วล่ะ เอ้า จิตสงบแล้วมันเป็นยังไง เห็นไหม ถ้าจิตสงบแล้วเราจะฝึกใจของเรา เราต้องเข้าไปสู่ใจของเรา ถ้าเข้าสู่ใจของเราได้ มันจะเป็นความจริงของเรานะ ถ้าความจริงของเราเห็นไหม

ถ้าความจริงเกิดขึ้นมาเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ถ้าเราปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ใครจะหลอกเราได้ ใครจะหลอกคนรู้ได้ คนรู้แจ้งใครหลอกได้ ไอ้ที่เขาหลอกเขาหลอกคนที่ไม่รู้ ไอ้คนไม่รู้ๆ มันหลอกกันเพราะมันไม่รู้ แต่ถ้ามันรู้ขึ้นมา ใครไปหลอกมัน หลอกซิ หลอกมา อ้าปากมา มันหลอกไม่ได้

ถ้าหลอกไม่ได้เห็นไหม เราอยากเป็นอย่างนั้น เราอยากมีความจริงอย่างนั้น ถ้ามีความจริงอย่างนั้นนะ เราเป็นพระผู้น้อย ถ้าพระผู้น้อย พรรษายังน้อยไปอยู่ครูบาอาจารย์ก็แล้วแต่ ถ้าเรามีคุณธรรมในใจนะ เรามีสมาธิ เราฝึกหัดใช้ปัญญาเป็น ครูบาอาจารย์พูดมาเราจับได้หมด เรารู้เลยว่าอาจารย์นี้จริงหรือปลอม ถ้าอาจารย์จริงนะ ท่านพูดจริงความจริงจะเข้ากัน ถ้ามันไม่เข้ากับเราล่ะ ไม่เราผิดก็อาจารย์ผิด แล้วถ้าเราปฏิบัติได้จริง เราผิดหรือเราถูกล่ะ?

แต่ส่วนใหญ่แล้วเริ่มต้นเราผิดมาทั้งนั้น เราผิดมาเพราะอะไร เราผิดมาเพราะว่าผู้หัดใหม่ อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา วิญญาณัง ปฏิสนธิจิต การเกิดเป็นมนุษย์เห็นไหม กำเนิด ๔ กำนิด ๔ เกิดมาแล้ว จิตกิเลสมันครอบงำไว้หมด ศึกษาธรรมะก็กิเลสศึกษาด้วยความอยาก แต่ด้วยความอยากเห็นไหม กุศลและอกุศล เราศึกษาด้วยกุศลเป็นความอยากไหม ใช่! เป็นกิเลสไหม? มันเป็นมรรค

ถ้าเราศึกษามาด้วยการทุจริต เราศึกษามาเพื่อเราจะเอาไปใช้พลิกแพลง อันนั้นกิเลสชัดๆ เลย แต่เราศึกษาอย่างนี้มันเป็นความอยาก ความอยากที่เป็นมรรค เราศึกษามาเพื่อเป็นความรู้ เราศึกษามาเพื่อเป็นหนทาง เราศึกษามาเพื่อเป็นประโยชน์กับเราเห็นไหม นี่ไปศึกษาเอากิเลสไปศึกษา นี้ศึกษาโดยกิเลสกับศึกษาโดยมรรค ศึกษาเหมือนกัน ความอยากเหมือนกัน แต่อยากศึกษามา ศึกษามาแล้วมาปฏิบัติให้มันได้จริงขึ้นมา นี่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธะ ถ้าไม่มีปฏิบัติเราจะไปเอาความรู้จริงมาจากไหน

แต่ถ้าความรู้จริงมันเกิดขึ้นมาแล้วเห็นไหม นี่เป็นประโยชน์กับเรา นี่จะฝึกใจ ฝึกใจต้องหาใจตัวเอง สภาวะแวดล้อม สังฆะ สังฆะคือหมู่สงฆ์ หมู่สงฆ์ สังฆะที่ดี มีครูบาอาจารย์ที่ดีเห็นไหม สัปปายะ ๔ หมู่คณะเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ ผู้นำเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ ถ้าเป็นสัปปายะ สัปปายะ ๔ เราหาสัปปายะ

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติอยู่นี่ เราแก้ไขกันอยู่นี่ เพราะหัวใจของเรามันผู้ปฏิบัติใหม่ มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าธรรมดานะเราขวนขวายของเรา เรามีความจริงของเรา มันวัดอำนาจวาสนาของเราไง มันเข้ากันโดยธาตุ

สัทธิวิหาริกของพระสารีบุตรทั้งหมดเป็นปัญญาวิมุตติทั้งหมด เป็นผู้ที่ชอบถนัดในปัญญา สัทธิวิหาริกของพระโมคคัลลานะเป็นผู้ที่ชอบฤทธิ์ชอบเดช เป็นเจโตวิมุตติ โดยการกำหนดพุทโธเข้าไป นี่พูดถึงผู้ที่เข้ากันโดยธาตุ ลูกศิษย์ของเทวทัตลามกทั้งหมด ชอบเรื่องพลิกแพลงเห็นไหม เข้ากันโดยธาตุๆ ถ้าเราหาครูบาอาจารย์ก็ธาตุนี่แหละ ถ้ามันชอบกัน มันพอกัน มันเป็นไปด้วยกัน เข้ากันโดยธาตุนะ

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราอยากให้ตัวเรารอด เราไม่ชอบใจสิ่งนั้น เราต้องชอบความจริง อะไรจริงอะไรเท็จนี่มันรู้ เรานี่รู้ ไปอยู่กับใคร ใกล้ชิดนี่รู้ ไปคลุกคลีนี่รู้หมด ถ้าเราจะเอาความจริง เราจะฝึกใจของเรา เราหาใจของเรา แล้วพยายามทำของเรา

ในชีวิตนี้นะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด สักวันหนึ่งเราจะต้องตายจากร่างกายนี้ไป จิตใจนี้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราจะดูจิตใจของเราเองหรือไม่ หรือเราจะห่วง เป็นห่วง เป็นใยกับบุคคลอื่น ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด จิตใจที่ฝึกดีแล้วจะมีคุณธรรมในใจ ใจที่ฝึกดีแล้ว เราจะฝึกใจของเรา เราจะมีสติปัญญาเพื่อหัวใจของเรา เอวัง